วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ภาษาเติร์กเมน

ภาษาเติร์กเมน (Turkmen, Туркмен, ISO 639-1: tk, ISO 639-2: tuk) คือชื่อภาษาราชการของประเทศเติร์กเมนิสถาน. มีคนพูดภาษาเติร์กเมนประมาณ 3,430,000 คนในประเทศเติร์กเมนิสถาน และประมาณ 3,000,000 คนในประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศอิหร่าน (2,000,000) ประเทศอัฟกานิสถาน (500,000) และประเทศตุรกี (1,000)
ภาษาเติร์กเมนอยู่ในตระกูลเตอร์กิก และบางครั้งก็รวมอยู่ในตระกูลที่ใหญ่กว่า คือ ตระกูลอัลไตอิก เป็นภาษากลุ่มเตอร์กิกทางใต้ในกลุ่มเติร์กเมเนียน สัมพันธ์กับภาษาตุรกีไครเมีย (Crimean Turkish) และ ภาษาซาลาร์ (Salar) และสัมพันธ์น้อยกว่ากับภาษาตุรกีและภาษาอาเซอร์ไบจาน
ภาษาเติร์กเมนเขียนโดยใช้อักษรซีริลลิกหรืออักษรอาหรับด้วย อย่างไรก็ดี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีซาปาร์มูรัต นิยาซอฟ ได้ประกาศให้เขียนภาษาติร์กเมนโดยใช้อักษรโรมันที่ได้รับการดัดแปลง แหล่ง: Ethnologue, รหัส SIL: TCK


วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

มฤตยูเหนือนรก

มฤตยูเหนือนรก เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น ผลงานแนวแฟนตาซีของ ทาเคชิ โอคาซากิ เคยลงตีพิมพ์ในนิตยสารนิวไทป์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1995 ได้ถูกสร้างเป็น OVA โดยออกวางจำหน่ายในรูปแบบวิดีโอและเลเซอร์ดิสก์ จากนั้นในปี ค.ศ. 2000 ก็ถูกรีมาสเตอร์ออกวางจำหน่ายอีกครั้งในรูปแบบดีวีดี
ในประเทศไทย มฤตยูเหนือนรก ได้ลิขสิทธิ์และตีพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ มังก้าบุ๊กส์



เรื่องย่อ
เมื่อการต่อสู้ในสงครามดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นมาหลายครั้งหลายคราตั้งแต่ในยุคอดีตได้จบสิ้นลง เหล่านักรบผู้กล้าและวิญญาณในสังกัดของตนก็จะเข้าจำศีลเพื่อพักผ่อน และจะตื่นขึ้นมาต่อสู้กันอีกรั้งในอีกหลายร้อยปีให้หลัง เพื่อชิงตำแหน่งผู้พิชิต ที่มีความเชื่อกันว่า ผู้พิชิต จะเป็นผู้สร้างเมืองในอุดมคติสำหรับทุกคน
วันหนึ่ง คางุระ เด็กหนุ่มนักเรียนชั้น ม.ปลาย ที่ดูท่าทางไม่เอาไหน เป็นเหมือนไก่อ่อนในสายตาของทุกคน ได้ตั้งใจที่จะสารภาพรักกับ อาซามิ เด็กสาวที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แต่แล้วจู่ๆ ในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วทั้งเมือง ซึ่งผู้ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมนั้นก็คือ ชิกิ จ้าววิญญาณแห่งน้ำ ที่เพิ่งตื่นขึ้นมา เขารู้มาว่า จ้าววิญญาณแห่งเ�! ��เทล นักรบวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด ยังคงหลับใหลอยู่ที่เมืองนี้ จึงตั้งใจที่จะมาตัดรากถอนโคนให้สิ้นซากก่อนที่ จ้าววิญญาณแห่งเอเทล จะตื่นขึ้นมา แม้นักรบวิญญาณคนอื่นๆ จะพยายามเข้าขัดขวาง แต่ก็ไม่อาจต่อกรกับชิกิได้ เมื่อชิกิบุกมาถึงที่โรงเรียน เขาก็ได้ทำร้ายคางุระ และพาตัวอาซามิไปเป็น ดีพเปอร์ (ผู้เพิ่มพลังให้แก่นักรบวิญญาณ) ของเขา แม้คางุระจะ! ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสารภาพรัก และความเจ็บปวดที่เห็นอาซามิถูกจับตัวไปต่อหน้าต่อตา ทำให้พลังในตัวของเขาตื่นขึ้นมา ณ เวลานั้น นักรบวิญญาณทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว คางุระ ก็คือ จ้าววิญญาณแห่งเอเทล นั่นเอง


วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ท่านผู้หญิงมณีรัตน์

ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาคหรือหม่อมหลวงมณีรัตน์ สนิทวงศ์ ป.ภ., ท.จ.ว. (23 มิถุนายน 2465-23 เมษายน 2543) พระมาตุจฉาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นผู้ประพันธ์คำร้องภาษาไทยในเพลงพระราชนิพนธ์ ความฝันอันสูงสุด เพลินภูพิงค์ เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย แผ่นดินของเรา เตือนใจ ไร้เดือน เกาะในฝัน มาร์ชราชนาวิกโยธิน
หม่อมหลวงมณีรัตน์ สนิทวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2465 เป็นธิดาคนสุดท้องของ พลเอกเจ้าพระยาวงศานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) และท้าววนิดาพิจาริณี (บาง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา) เป็นน้องของหม่อมหลวงบัว กิติยากร พระชนนีในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หม่อมหลวงมณีรัตน์ สมรสกับนายสุรเทิน บุนนาค มีบุตรชาย 2 คน
หม่อมหลวงมณีรัตน์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ จึงใช้คำนำหน้าท่านผู้หญิง



การทำงาน
ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค รับราชการเป็นนางสนองพระโอษฐ์ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ตั้งแต่ พ.ศ. 2493 ซึ่งเป็นปีราชาภิเษกสมรส จนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2543 สิริรวมอายุ 78 ปี การนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศมณฑป ฉัตรเครื่องทองสูงแผ่ลวด และรับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด ตั้งศพสวดพระอภิธรรม ณ ศาลาบัณรศภาค วัดเบญจ! มบพิตรดุสิตวนาราม
นอกจากคำร้องเพลงพระราชนิพนธ์แล้ว ท่านยังเป็นผู้รับสนองพระราชเสาวนีย์ในการแต่งเพลงเพื่อพระราชทานแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ โดยใช้ทำนองเพลงเดิมที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว อาทิ
ในงานสาธารณะประโยชน์ด้านอื่น ท่านผู้หญิงมณีรัตน์เป็นต้นคิดและเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ริเริ่มผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการสร้างสวนหลวง ร.๙ ขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวาระครบ 60 ชันษาเมื่อ พ.ศ. 2530 โดยริเริ่มโครงการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2525 ทำให้ประชาชนชาวกรุงเทพมหานครมีที่พักผ่อนหย่อนใจในลักษณะอุทยานขนาดใหญ่ที่งดงามเป็นครั้งแรก


วอลซ์ทหารมหาดเล็ก ใช้ทำนองเพลง A Bicycle build for two
ชมประดู่ ใช้ทำนองเพลง La Mer
ตำรวจตระเวนชายแดน ใช้ทำนองเพลง Danny Boy
ย่าเหล
ดอกต้อยติ่ง
ผู้ดี

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

เอลฟรีเดอ

เอลฟรีเดอ เยลิเนค (20 ตุลาคม พ.ศ. 2489 - ) นักเขียนชาวออสเตรีย ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ประจำปี พ.ศ. 2547
เอลฟรีเดอ เยลิเนค (Elfriede Jelinek) เกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2489 ในประเทศออสเตรีย บิดามีเชื่อสายเชค-ยิว มารดาเป็นชาวเวียนนา ในวัยเยาว์เธอได้รับการศึกษาด้านดนตรีหลายอย่าง เช่นเปียโน ออร์แกน และรีคอร์เดอร์ และได้ศึกษาต่อด้านการเรียบเรียงเสียงประสานในสถานบัน Vienna Conservatory
หลังจบการศึกษาจาก Albertsgymnasium ในปี พ.ศ. 2507 เธอได้ศึกษาด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและการละคร ที่มหาวิทยาลัยแห่งเวียนนา ขณะที่ยังคงศึกษาด้านดนตรี และสอบได้ประกาศนียบัตรนักออร์แกน เมื่อปี พ.ศ. 2514 จากสถาบัน Conservatory
เยลิเนคเริ่มต้นเขียนบทกวีตั้งแต่วัยเยาว์ และได้ตีพิมพ์รวมบทกวีชื่อ Lisas Schatten เมื่อปี พ.ศ. 2510 เมื่อได้ติดต่อกับขบวนการนักศึกษางานเขียนของเธอจึงมีทิศทางในเชิงวิพากษ์วิจารณ์สังคม เช่น นวนิยายเสียดสีเมื่อปี พ.ศ. 2513 เรื่อง wir sind lockvögel baby! และ Michael. Ein Jugendbuch für die Infantilgesellschaft เมื่อปี พ.ศ. 2515 ผลงานส่วนใหญ่เขียนเป็นภาษาเยอรมัน



โรงเรียนปทุมคงคา

จิกะเมตร เป็นหน่วยวัดความยาว มีขนาดเท่ากับ 1 x 10 เมตร มักย่อว่า Gm จากภาษาอังกฤษ gigametre
1 จิกะเมตร เท่ากับ 1,000 เมกะเมตร
1,000 จิกะเมตร เท่ากับ 1 เทราเมตร

เชือด-เชือดนิ่มนิ่ม

เชือด-เชือดนิ่มนิ่ม (Angel) ภาพยนตร์จีนซึ่งมี



เรื่องราว
เกี่ยวกับการค้าฝิ่นที่สามเหลี่ยมทองคำซึ่งการค้าฝิ่นนั้นผิดกฎหมาย ทางตำรวจสากลได้พยายามทำลายแต่แล้วผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นก็คือ "หยางหลิน" (โอชิมา ยูการิ)ตัวการสำคัญ เธอเจ็บแค้นที่ตำรวจสากลได้เข้ามาทำลายฝิ่นครั้งนี้จึงได้ส่งมือสังหารออกไปจัดการกับทีมตำรวจสากล เมื่อทางกรมตำรวจทราบเรื่องเข้าจึงได้จ้างนักสืบเอกชนในนาม "นางฟ้า" หรือ "Angel" ซึ่งนำ! ทีมโดย ตำรวจสากลหนุ่มลูกครึ่งจีน-อเมริกัน "อเล็กซ์" (ฟางจงซิ่น) ตามด้วยหัวหน้าทีมนางฟ้า "เดวิด" (เดวิด-เจียง)และ "ไซโจ้" (เคนจิ-ไซโจ้), "มูน" (หลี่ไซ่ฟ่ง)และ "อิเลน" (หลี่เส้าหลิง) ทั้งหมดได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อร่วมกันสืบเรื่องราวว่าใครเป็นผู้บงการ "หยางหลิน" ไม่พอใจในการบริหารงานของพี่ใหญ่เธอจึงลงมือสังหารพี่ใหญ่แล้วขึ้นมานั่งเก้าอี้บอสส์แทน เมื่�! ��แผนที่1 ไม่สำเร็จเธอจึงด ำเนินการแผน2 นั่นคือ การปล้นทองคำสวิสจากธนาคารแห่งชาติฮ่องกง ทีม นามฟ้า ได้พยายามสืบหาแต่ก็ยังไร้ล่องรอยของแหล่งข้อมูล "อเล็กซ์" กับ "อิเลน" พลาดท่าถูกพวกของ "หยางหลิน" จับได้ขณะเข้าไปทำการสืบเรื่องแผน2 แต่ "อิเลน" ได้เอาตัวรอดมาได้ "อเล็กซ์" ถูกจับได้แต่ว่า "หยางหลิน" ต้องการใช้เขาเป็นเหยื่อล่อให้พวก นางฟ้า ออกมาปรากฎแต่ไม่สำเร็จ ทีม นางฟ้า ทำงานระดับ�! ��ืออาชีพจึงนำทีมมาช่วย "อเล็กซ์" ออกไปได้แต่ว่าเขายังสงสัยแผนดังกล่าวอีกจึงหวนกลับไปหา "หยางหลิน" อย่างเปิดเผยจึนในที่สุดก็ถูกเธอจับทรมาน "อเล็กซ์" สู้เธอไม่ได้เพราะ "หยางหลิน" มีกังฟูเอาชนะเขาได้ "อเล็กซ์" ได้พยายามส่งข้อมูลมายึงองค์กรลับซึ่งเป็นที่ตั้งลับของทีม "นางฟ้า" จนในที่สุดทุกคนก็รู้ว่าแผน2 ที่ "หยางหลิน" วางไว้คืออะไร? "ไซโจ้" ได้ไปสืบเรื่อง! ทองคำและติดเข้าไปกับรถข� ��ทองพร้อมกับถูกกลบด้วยซีเมนต์ทำให้ขาดการติดต่อกับทีมงาน "มูน" กับ "อิเลน" เห็นว่า "ไซโจ้" หายไปก็คิดว่าถูก "หยางหลิน" จับตัวไปจึงได้ตามไปยังบริษัท ไดนิปปอน ของหล่อนเพื่อขอให้ปล่อยตัว "ไซโจ้" ออกมา*แต่ทว่าความมันส์ได้บังเกิดขึ้น..เมื่อ "หยางหลิน" ได้รู้ว่าพวกเธอคือหนึ่งในทีมงานของ "นางฟ้า" ที่เข้ามาทำลายแผนการทั้งหมด "หยางหลิน" โกรธแค้นมากจึงเกิดการต่อส�! �้ขึ้นระหว่าง "หยางหลิน" (โอชิมา ยูการิ) กับ "มูน" (หลี่ไซ่ฟ่ง)และ "อิเลน" (หลี่เส้าหลิน)..ในที่สุด "มูน" สามารถจัดการกับ "หยางหลิน" ได้แต่กว่าจะได้ก็เล่นเอาซะตัวเองสะบักสะบอมส่วน "อิเลน" ก็บาดเจ็บจากการที่ถูก "หยางหลิน" ทำร้ายเช่นกัน "ไซโจ้" รู้เรื่องของ "มูน" จึงตามที่บริษัท ไดนิปปอน พบเห็น "หยางหลิน" กำลังจะฆ่า "มูน" จึงใช้ปืนพกยิ่งเจาะเข้าที่กลางหน้าผากของ "หยาง�! �ลิน" จนตายสนิทจากนั้นก็พ� �� "มูน"และ"อิเลน" ไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาตัวต่อไป


วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

อำเภอไชยา
สารบัญ



เนื้อหาหลัก

เว็บบอร์ด - พื้นที่ให้สมาชิกพูดคุยในเรื่องต่างๆ โดยที่แบ่งเป็นห้องๆ ได้แก่ ภาพยนตร์ เพลง ดารานักร้อง เกม เทคโนโลยี ความรัก เบ็ดเตล็ด และข่าวประชาสัมพันธ์
เกมส์ออนไลน์ - บริการเกมประเภทแฟลชผ่านเว็บ
ละคร - บริการข้อมูลละคร
ข้อมูลบนมือถือ - บริการโหลดริงโทนหรือภาพกราฟฟิกไปบนมือถือ
เหรียญกษาปณ์




เหรียญกษาปณ์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) มีการใช้หอยเบี้ยและพดด้วง ในการชำระเงิน การค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศ มีการใช้เบี้ยทองแดงในต่างประเทศ จึงมีพระราชดำริให้ทำเบี้ยทองแดงจากประเทศอังกฤษมาเป็นตัวอย่าง 3 ชนิด ในปี จ.ศ.1197 หรือ พ.ศ. 2378 เมื่อทอดพระเนตรแล้วไม่ทรงโปรดในลายตรา จึงมิได้นำออกใช้ แต่ก็ทรงพระราชประสงค์ที่จะทำเหรียญรูปก�! �มแบนอย่างสากล แต่ยังไม่สำเร็จก็เปลี่ยนรัชกาล
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) การค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศก็ได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พ่อค้าชาวต่างประเทศเข้ามาค้าขายมากขึ้นและได้นำเงินเหรียญของตนมาแลกกับเงินพดด้วงจากรัฐบาลไทยเพื่อนำไปซื้อสินค้าจากราษฎร แต่ด้วยเหตุที่เงินพดด้วงผลิตด้วยมือจึงทำให้มีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่งผลให้เกิดความไม่สะดวก�! �ละการค้าของประเทศเสียประโยชน์ พระองค์จึงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนรูปเงินตราของไทยจากเงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญ ในปี พ.ศ. 2399 ได้ทดลองทำเหรียญรูปกลมแบนอย่างสากล โดยใช้ค้อนทุบตีโลหะให้เป็นแผ่นแบน แล้วตัดเป็นรูปเหรียญกลม ให้ได้ตามขนาดและน้ำหนัก แล้วใช้แม่ตราตีประทับ (HAND-HAMMERRING METHOD)แต่ผลิตได้ช้าและไม่เรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีการใช้แม่ตราตีประทับกับเงิน�! ��หรียญต่างประเทศ เพื่อให� ��ราษฏรยอมรับ ในปี พ.ศ. 2400 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้คณะทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียที่ประเทศอังกฤษ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ได้จัดส่งเครื่องทำเหรียญเงินขนาดเล็กเข้ามาถวาย ทำงานด้วยแรงงานคนโดยใช้วิธีแรงอัดแบบ SCREW PRESS METHOD เป็นราชบรรณาการ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าให้จัดทำเหรีย�! �กษาปณ์จากเครื่องจักรขึ้นเป็นครั้งแรก เรียกกันว่า "เหรียญเงินบรรณาการ" ในขณะเดียวกันคณะทูตก็ได้สั่งซื้อเครื่องจักรทำเงินชนิดแรงดันไอน้ำ จากบริษัท เทเลอร์ เข้ามาในปลายปี 2401 พระองค์จึงโปรดเกล้าให้สร้างโรงงานผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นที่หน้าพระคลังมหาสมบัติ ในพระบรมมหาราชวัง ติดตั้งเครื่องใช้งานได้เมื่อ ปี พ.ศ. 2403 พระราชทานนามว่า "โรงกระสาปณ์สิทธิการ" ใ! นสมัยนี้จึงถือว่ามีการใ� ��้เหรียญกษาปณ์แบบสากลนิยมขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมาแม้ได้ประกาศให้ใช้เงินตราแบบเหรียญแล้วก็ยังโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เงินพดด้วงอยู่เพียงแต่ไม่มีการผลิตเพิ่มเติม ได้ผลิตตามแจ้งที่แจ้งแก่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติเมื่อ ปี พ.ศ. 2438 พบว่ามีเหรียญตรามงกุฎดังกล่าวให้แลกอยู่ 6 ราคา ด้วยกัน คือ ราคา สองบาท หนึ่งบาท สองสลึง หนึ่งสลึง หนึ่งเฟื้อง และ สองไพ แต่ผลิตได้น! ้อยไม่พอแก่ความต้องการ นอกจากนี้ยังมีเหรียญ หนึ่งตำลึง กึ่งตำลึง และกึ่งเฟื้อง แต่ไม่ได้นำออกใช้ จึงเป็นพระมหากษัตริย์ไทย พระองค์แรกที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิรูปเงินตราไทย จากที่เคยใช้เงินพดด้วง หรือเงินกลมที่ใช้มาแต่โบราณกาลให้มาใช้เงินเหรียญหรือเงินแบน แบบสากล
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงมาตรา เงินตราไทย ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คือ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง เป็นระบบโดยใช้หน่วยเป็นบาท และสตางค์ คือ 100 สตางค์ เป็น 1 บาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2441 อันเป็นมาตราเงินตราไทยมาจนถึงปัจจุบัน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำพระบรมรูปของพระองค์ประทับลงบนเหรียญ ซึ่งนับเป�! ��นครั้งแรกที่มีการนำพระบรมรูปของพระมหากษัตริย์ไทยประทับลงบนเหรียญกษาปณ์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ เริ่มจากเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกตราพระบรมรูป - ตราแผ่นดิน ใน พ.ศ. 2493 ผลิตเหรียญราคา 5 บาท ขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2515 ผลิตเหรียญราคา 10 บาท ขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2531 และได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก รวมทั้งมีการพัฒนาจัดทำเหรียญที่ระ�! �ึก ต่อเนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบัน คือ
1. เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน (Circulated coins) เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนกันอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน มี 8 ชนิดราคา คือ 10 บาท, 5 บาท และ 1 บาท 50 สตางค์, 25 สตางค์, 10 สตางค์, 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ แต่ที่ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมี 5 ชนิดราคา คือ 10 บาท, 5 บาท และ 1 บาท 50 สตางค์, 25 สตางค์ ส่วนเหรียญชนิดราคา 10 สตางค์, 5 สตางค์ และ1 สตางค์ มีใช้ในทางบัญชีเท่านั้น
2. เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก (Commemorative coins) เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ผลิตออกใช้ในวโรกาสและโอกาสที่สำคัญตทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือเหตุการณ์ระหว่างประเทศ โดยจัดทำ 2 ประเภท คือ ขัดเงา และไม่ขัดเงา
ข้อแตกต่างระหว่างเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกก็คือการวางลวดลายด้านหน้าและด้านหลัง โดนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนจะวางลวดลายแบบ American Turning ซึ่งจะต้องพลิกดูลวดลายด้านหลังในแนวดิ่ง สำหรับเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกได้จัดวางลวดลายแบบ European Turning ซึ่งจะต้องพลิกในแนวนอนเพื่อดูลวดลายด้านหลัง
3. เหรียญที่ระลึก (Medal) เป็นเหรียญที่ผลิตขึ้นเนื่องในวโรกาสและโอกาสที่สำคัญต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างจากเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกตรงที่จะ ไม่มีราคาหน้าเหรียญ เนื่องจากมิใช่เงินตราจึงไม่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย


วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

วัดพระธรรมกาย

สถานีรถไฟชะม่วง ตั้งอยู่ บ้านชะม่วง หมู่ 3 ตำบลพงศ์ประศาสน์ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นสถานีรถไฟชั้น 4 ของทางรถไฟสายใต้



สารบัญ



ตารางเวลาการเดินรถ

หมายเหตุ : ดพ= รถด่วนพิเศษ | ด= รถด่วน | ร= รถเร็ว | ธ= รถธรรมดา | ช= รถชานเมือง | ท= รถท้องถิ่น | น= รถนำเที่ยว | ส= รถสินค้า



เที่ยวล่อง

หมายเหตุ : ดพ= รถด่วนพิเศษ | ด= รถด่วน | ร= รถเร็ว | ธ= รถธรรมดา | ช= รถชานเมือง | ท= รถท้องถิ่น | น= รถนำเที่ยว | ส= รถสินค้า



เที่ยวขึ้น

รหัส  : 4165
ชื่อภาษาไทย  : ชะม่วง
ชื่อภาษาอังกฤษ : Cha Muang
ชื่อย่อภาษาไทย :
ชื่อย่อภาษาอังกฤษ :
ชั้นสถานี  : สถานีชั้น 4
ระบบอาณัติสัญญาณ :
พิกัดที่ตั้ง  : 385+920
ที่อยู่  : ทช.ปข.1013 บ้านชะม่วง หมู่ 3 ตำบลพงศ์ประศาสน์ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 77140

ข้อมูลจำเพาะ

http://www.railway.co.th/ticket/south.asp
http://www.geocities.com/railsthai/south.htm
มัทนะพาธา

มัทนะพาธา เป็นบทละครพูดคำฉันท์ 5 องค์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น เมื่อ พ.ศ.2466



เนื้อเรื่องย่อ
จอมเทพสุเทษณ์เป็นทุกข์อยู่ด้วยความลุ่มหลงเทพธิดามัทนา แม้จิตระรถผู้สารถีคู่บารมีจะนำรูปของเทพเทวีผู้เลอโฉมหลายต่อหลายองค์มาถวายให้เลือกชม สุเทษณ์ก็มิสนใจไยดี จิตระรถจึงนำมายาวินวิทยาธรมาเฝ้า สุเทษณ์ให้มายาวินใช้เวทมนตร์เรียกนางมัทนามาหา เมื่อมาแล้วนางมัทนาก็เหม่อลอยมิมีสติสมบูรณ์เพราะตกอยู่ในฤทธิ์มนตรา สุเทษณ์มิต้องการได้นางด้วยวิธ�! �เยี่ยงนั้น จึงให้มายาวินคลายมนตร์ แต่ครั้นได้สติแล้ว นางมัทนาก็ปฏิเสธว่ามิมีจิตเสน่หาตอบด้วยมิว่าสุเทษณ์จะเกี้ยวพาและรำพันรักอย่างไร สุเทษณ์โกรธนักจึงจะสาปมัทนาให้ไปเกิดในโลกมนุษย์
มัทนาขอให้นางได้ไปเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่นหอมเพื่อให้มีประโยชน์บ้าง สุเทษณ์จึงสาปมัทนาให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบที่งามทั้งกลิ่นทั้งรูป และมีแต่เฉพาะบนสวรรค์ยังไม่เคยมีบนโลกมนุษย์ โดยที่ในทุกๆ 1 เดือน นางมัทนาจะหลายร่างเป็นคนได้ชั่ว 1 วัน 1 คืน ในเฉพาะวันเพ็ญของแต่ละเดือนเท่านั้น และถ้านางมีความรักเมื่อใด นางก็จะมิต้องคืนรูปเป็นกุหลาบอีก แต่นางจะไ! ด้รับความทุกข์ทรมานเพราะความรักจนมิอาจทนอยู่ได้ และเมือนั้นถ้านางอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ตนจึงจะงดโทษทัณฑ์นี้ให้แก่นาง
นางมัทนาไปจุติเป็นกุหลาบงามอยู่ในป่าหิมะวัน บรรดาศิษย์ของฤษีนามกาละทรรศินมาพบเข้าจึงนำความไปบอกพระอาจารย์ กาละทรรศินจึงให้ขุดไปปลูกในบริเวณอาศรมของตน ในขณะที่จะทำการขุดก็มีเสียงผู้หญิงร้อง กาละทรรศินเล็งญาณดูก็รู้ว่าเป็นเทพธิดามาจุติ จึงได้เอ่ยเชิญและสัญญาว่าจะคอยดูแลปกป้องสืบไป เมื่อนั้นการจึงสำเร็จด้วยดี
วันเพ็ญในเดือนหนึ่งท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งหัสตินาปุระได้เสด็จออกล่าสัตว์ในป่าหิมะวันและได้แวะมาพักที่อาศรมพระฤาษี ครั้นได้เห็นนางมัทนาในโฉมของนารีผู้งดงามก็ถึงกับตะลึงและตกหลุมรัก จนถึงกับรับสั่งให้มหาดเล็กปลูกพลับพลาพักแรมไว้ใกล้อาศรมนั้นทันที
ท้าวชัยเสนรำพันถึงความรักลึกซึ้งที่มีต่อนางมัทนา ครั้นเมื่อนางมัทนาออกมาที่ลานหน้าอาศรมก็มิเห็นผู้ใด ด้วยเพราะท้าวชัยเสนหลบไปแฝงอยู่หลังกอไม้ นางมัทนาได้พรรณาถึงความรักที่เกิดขึ้นในใจอย่างท่วมท้น ท้าวชัยเสนได้สดับฟังทุกถ้อยความจึงเผยตัวออกมาทั้งสองจึงกล่าวถึงความรู้สึกอันล้ำลึกในใจที่ตรงกันจนเข้าใจในรักที่มีต่อกัน จากค่ำคืนถึงยามรุ! ่งอรุณ ท้าวชัยเสนจึงทรงประกาศหมั้นและคำสัญญารัก ณ ริมฝั่งลำธารใกล้อาศรมนั้น
เมื่อมีความรักแล้ว นางมัทนาก็ยังคงรูปเป็นนารีผู้งดงาม มิต้องกลายรูปเป็นกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนได้ทูลขอนางมัทนา พระฤษีก็ยกให้โดยให้จัดพิธีบูชาทวยเทพและพิธีวิวาหมงคลในป่านั้นเสียก่อน
ท้าวชัยเสนเสด็จกลับวังหลายเพลาแล้วแต่ก็มิได้เสด็จไปยังพระตำหนักข้างในด้วยว่ายังทรงประทับอยู่แต่ในอุทยาน พระนางจัณฑี มเหสีให้นางกำนัลมาสืบดูจนรู้ว่าพระสวามีนำสาวชาวป่ามาด้วย จึงตามมาพบท้าวชัยเสนกำลังอยู่กับนางมัทนาพอดี เมื่อพระนางจัณฑีเจรจาค่อนขอดดูหมิ่นนางมัทนา ท้าวชัยเสนก็กริ้วและทรงดุด่าว่าเป็นมเหสีผู้ริษยา
พระนางจัณฑีแค้นใจนัก ให้คนไปทูลฟ้องพระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งมคธนครให้ยกทัพมาทำศึกกับท้าวชัยเสน จากนั้นก็คบคิดกับนางค่อมอราลีและวิทูรพราหมณ์หมอเสน่ห์ ทำอุบายกลั่นแกล้งนางมัทนาโดยส่งหนังสือไปทูลท้าวชัยเสนว่านางมัทนาป่วย ครั้นเมื่อท้าวชัยเสนรีบเสด็จกลับมาเยี่ยมนางมัทนา ก็กลับพบหมอพราหมณ์กำลังทำพิธีอยู่ใกล้ๆต้นกุหลาบ วิทูรกับนางเกศินีข้าห�! �วงของนางจัณฑีจึงทูลใส่ความว่านางมัทนาให้ทำเสน่ห์เพื่อให้ได้ร่วมชื่นชูสมสู่กับศุภางค์
ท้าวชัยเสนกริ้วนัก รับสั่งให้ศุภางค์ประหารนางมัทนาแต่ศุภางค์ไม่ยอม ท้าวชัยเสนจึงสั่งประหารทั้งคู่
พระนางจัณฑีได้ช่องรีบเข้ามาทูลว่าตนจะอาสาออกไปห้ามศึกพระบิดาซึ่งคงเข้าใจผิดว่านางกับท้าวชัยเสนนั้นบาดหมางกัน แต่ท้าวชัยเสนตรัสว่าทรงรู้ทันอุบายของนางที่คิดก่อศึกแล้วจะห้ามศึกเอง พระองค์จะขอออกทำศึกอีกคราแล้วตัดหัวกษัตริย์มคธพ่อตาเอามาให้นางผู้ขบถต่อสวามีตนเอง
ขณะตั้งค่ายรบอยู่ที่นอกเมือง วิทูรพรหมณ์เฒ่าได้มาขอเข้าเฝ้าท้าวชัยเสนเพื่อสารภาพความทั้งปวงว่าพระนางจัณฑีเป็นผู้วางแผนการร้าย ซึ่งในที่สุดแล้วตนสำนึกผิดและละอายต่อบาปที่เป้นเหตุให้คนบริสุทธิ์ต้องได้รับโทษประหาร
ท้าวชัยเสนทราบความจริงแล้วคั่งแค้นจนดำริจะแทงตนเองให้ตาย แต่อำมาตย์นันทิวรรธนะเข้าห้ามไว้ทันและสารภาพว่าในคืนเกิดเหตุนั้นตนละเมิดคำสั่ง มิได้ประหารศุภางค์และนางมัทนา หากแต่ได้ปล่อยเข้าป่าไป ซึ่งนางมัทนานั้นได้โสมะทัตศิษญ์เอกของฤษีกาละทรรศินนำพากลับสู่อาศรมเดิม แต่ศุภางค์นั้นแฝงกลับเข้าไปร่วมกับกองทัพแล้วออกต่อสู้กับข้าสึกจนตัวตาย
ท้าวชัยเสนจึงรับสั่งให้ประหารท้าวมคธที่ถูกจับมาเป็นเชลยไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ส่วนพระนางจัณฑีมเหสีนั้นทรงให้เนรเทศออกนอกพระนคร ด้วยทรงเห็นว่าอันนารีผู้มีใจมุ่งร้ายต่อผู้เป็นสามีก็คงต้องแพ้ภัยตนเอง มิอาจอยู่เป็นสุขได้นานแน่
ฝ่ายนางมัทนานั้นได้ทำพิธีบูชาเทพและวอนขอร้องให้สุเทษณ์จอมเทพช่วยนางด้วย สุเทษณ์นั้นก็ยินดีจะแก้คำสาปและรับนางเป็นมเหสี แต่นางมัทนาก็ยังคงปฏิเสธและว่าอันนารีจะมีสองสามีได้อย่างไร สุเทษณ์เห็นว่านางมัทนายังคงปฏิเสธความรักของตนจึงกริ้วนักสาปส่งให้นางมัทนาเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล มิอาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป
เมื่อท้าวชัยเสนตามมาถึงในป่า นางปริยัมวะทาที่ตามมาปรนนิบัติดูแลนางมัทนาด้วยก็ทูลเล่าความทั้งสิ้นให้ทรงทราบ ท้าวชัยเสนจึงร้องร่ำให้ด้วยความอาลัยรักแล้วขอให้พระฤษีช่วย โดยใช้มนตราและกล่าวเชิญนางมัทนาให้ยินยอมกลับเข้าไปยังเวียงวังกับตนอีกครา
เมื่อพระฤษีทำพิธีแล้ว ท้าวชัยเสนก็รำพันถึงความหลงผิดและความรักที่มีต่อนางมัทนาให้ต้นกุหลาบได้รับรู้ จากนั้นจึงสามารถขุดต้นกุหลาบได้สำเร็จ ท้าวชัยเสนได้นำต้นกุหลาบขึ้นวอทองเพื่อนำกลับไปปลูกในอุทยาน และขอให้ฤาษีกาละทรรศินให้พรวิเศษว่ากุหลาบจะยังคงงดงามมิโรยราตราบจนกว่าตัวพระองค์เองจะสิ้นอายุขัย พระฤษีก็อวยพรให้ดังใจ และประสิทธิประสาท�! �รให้กุหลาบนั้นดำรงอยู่คู่โลกนี้มิมีสูญพันธ์ อีกทั้งยังเป็นไม้ดอกที่กลิ่นอันหอมหวานสามารถช่วยดับทุกข์ในใจคนและดลบันดาลให้จิตใจเบิกบานเป็นสุขได้ ชาย-หญิงเมื่อมีรักก็จักใช้ดอกกุหลาบเป็นสัญญลักษณ์แห่งความรักแท้สืบต่อไป




อ้างอิง


มัทนะพาธา: หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ประวัติ


เอนยาเกิดที่ Gweedore, County Donegal ในเขตที่พูดภาษาแกลิกของประเทศไอร์แลนด์ เอนยาเป็นลูกคนที่ 5 จากทั้งหมด 9 คนในครอบครัวนักดนตรี พ่อของเธอเป็นหัวหน้าคณะเต้น ในขณะที่แม่เป็นครูสอนดนตรี เอนยาเข้าร่วมวงดนตรีพื้นบ้าน Clannad ซึ่งพี่น้องและญาติของเธอเป็นสมาชิกในปีพ.ศ. 2523 แต่ออกจากวงในอีกสองปีถัดมาเพื่อเริ่มต้นเป็นศิลปินเดี่ยว เอนยาไปเช่าห้องในบ้านของนิกกี ไรอัน อดีตผู้จัดการของ Clannad ซึ่งทำให้เอนยาได้ร่วมงานกับโรมา ไรอัน นักแต่งเนื้อเพลง ภรรยาของนิกกี อาชีพศิลปินเดี่ยวของเอนยาเริ่มต้นกับการประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง เดอะฟร็อกพรินซ์ (เจ้าชายกบ) ของเดวิด พุตแนมในปีพ.ศ. 2528 ผลงานต่อมาของเอนยาคือการประพันธ์ดนตรีประกอบซีรีส์ เดอะเคลต์ส ของบีบีซีในปีพ.ศ. 2530 ซึ่งดนตรีจากโครงการนี้ได้ถูกวางจำหน่ายในอัลบั้ม Enya ในปีเดียวกันโดยแอตแลนติกเรคอร์ดส ผลงานนี้ทำให้เอนยาได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินของวอร์เนอร์มิวสิก สหราชอาณาจักร เอนยาประสบความสำเร็จสูงจากอัลบั้ม Watermark ในปีพ.ศ. 2531 โดยซิงเกิ้ล The Orinoco Flow (ชื่อเพลงมาจากแม่น้ำโอรีโนโก ในเวเนซุเอลา) ขึ้นเป็นซิงเกิ้ลอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักร